วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รักนั่นคืออะไร ?

 
มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขาหนึ่งถุง และบอกกับเขาว่า
"ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคนให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน"
วันแรกผ่านไปเด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ
ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง
เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ให้สงบง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ
และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่า
เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้วไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า
"ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ ฉุนเฉียวของตนเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" วันแล้ววันเล่าเด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว
จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมด
เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า "ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ!!"
พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า
"ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่ารั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม
ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูกเมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์
สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน
ต่อให้ใช้คำพูด ว่า "ขอโทษ" สักกี่หนก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ฉันใดก็ฉันนั้น
"กับเพื่อน" .. เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายากเป็นคนที่ทำให้เรายิ้มเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ
และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จเป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราและจริงใจกับเราเสมอ ... แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหนและระวังสิ่งที่เราทำไป
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า "คำขอโทษ " ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม
แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป"
หวังว่านิทานนี้คงช่วยให้พวกเราอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป.....
 
ขาว - ดำ

อาจจะมีคนเคยอ่านแล้ว อ่านอีกครั้งก้อได้คิดอีกครั้ง
มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่ง คุณครูเดินเข้ามา
แล้วชูกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
มันเป็นกระดาษขาวที่มีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง
แล้วครูจึงถามนักเรียนว่า เธอเห็นอะไร
นักเรียนจึงตอบว่าเห็นจุดสีดำ
คุณครูพูดว่า แล้วเธอไม่เห็นกระดาษขาวแผ่นนี้เหรอ?
นักเรียนจำเรื่องนี้ได้จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่เลย
เรื่องนี้จะเห็นได้ว่า
คนส่วนมากมักจะมองเห็นสิ่งไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดี
ซึ่งที่จริงแล้ว เราควรจะหัดให้เห็นสิ่งดีมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี
โดยเฉพาะเวลาที่เรามองคนอื่น หากเรามองข้อดีของเขา
เราจะรู้สึกสบายใจ และบรรยากาศรอบข้างก็จะดีด้วย
 

 
เดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ยขอโทษ ไม่ตั้งใจ เขากลับตอบ "ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ"
เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน
แต่ที่บ้านเย็นวันนั้น ฉันทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง ไม่ทันระวัง ฉันหันกลับมาชน เธอล้มลง
"อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่
ลูกสาวเดินจากไป หัวใจเธอปวดร้าว และคืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ
"กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้ กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอล่ะ"
เรานึกกลับไป เรามองดูที่พื้นครัว ดอกไม้หลากสีที่ลูกเราอุตส่าห์เก็บมาหวังให้เราแปลกใจ
ตกเกลือนอยู่ทั่วไป น้ำตาเธอไหล "เหตุใดฉันไม่แลเห็น" ฉันเพิ่งรู้ตัว เลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปนั่นคุกเข่าข้างเตียงลูก
"ตื่นเถิดคนดี ดอกไม้นี่ลูกเก็บมาให้แม่หรือ"
ลูกตอบ "ใช่ค่ะ หนูเห็นดอกไม้บาน สวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบ โดยเฉพาะดอกสีน้ำเงิน"
ฉันตื้นตันใจนัก "ลูกรัก แม่ขอโทษจริง ๆ ที่เอ็ดหนู"
"แม่จ๋า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรักแม่"
"แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของหนูมาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินจ๊ะ"
หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้
แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าไปชั่วชีวิต ลองคิดดูว่าคุ้มไหม
หากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานมากกว่าครอบครัว
รู้ไหมคำว่า FAMILY ย่อมาจาก
FAMILY = Father And Mother I Love You
ให้เวลากับพ่อ-แม่ของคุณมากขึ้นยามท่านแก่ตัวลง รู้จักแบ่งเวลาให้กับงานและคนที่บ้านให้สมดุลกัน
หากมีใครมาบอกให้จัดความสำคัญเสียใหม่ จงย้อนถามกลับไปว่าครอบครัวสำคัญน้อยกว่าหรือไร?
 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น